Skip to content Skip to footer

เทคนิคปรับลูกกินยากให้กลายเป็นเด็กกินง่าย

ปัญหาลูกกินยาก แก้ไม่ยากอย่างที่คิด

          ปัญหายอดฮิตที่คุณพ่อคุณแม่มักพบเจอกับลูกน้อยอีกหนึ่งปัญหาเลยนั่นก็คือปัญหาทางด้านการกินอาหาร โดยลูกน้อยนั้นช่างกินยาก และเลือกกินเหลือเกิน เมื่อถึงเวลากินข้าวก็จะส่ายหน้าปฏิเสธทุกอย่างอยากกินเพียงแค่นม ขนมจุบจิบ หรืออาหารที่ชอบเจ้าประจำซ้ำเดิมเท่านั้น แต่คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่าแท้จริงแล้วพฤติกรรมกินยากนั้น อาจมีผลกระทบมากมายกว่าที่เราคิด รวมถึงอาจทำให้ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการได้อีกด้วยค่ะ

ทำความเข้าใจกันก่อนทำไมลูกเราถึงกินยากกันนะ ?

            โดยปกติแล้วพฤติกรรมการกินยากหรือการช่างเลือกกินสามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงวัย 1-3 ปี ไม่เพียงแต่เป็นช่วงวัยที่สามารถเข้าใจอะไรได้มากขึ้น จึงมีความต้องการที่จะเป็นตัวของตนเอง ทำให้รู้จักปฏิเสธมากขึ้น แต่การรับประทานอาหารที่มีลักษณะแข็งขึ้น ต้องใช้เวลาในการบดเคี้ยวมากขึ้นและนานขึ้น จึงทำให้ลูกรู้สึกว่ามันไม่ง่ายเหมือนดูดนมหรืออาหารบดเหลวที่กินได้สะดวกอย่างที่ผ่านมา ทำให้ลูกต้องใช้เวลาปรับตัวปรับใจอยู่มาก ซึ่งในระยะนี้เองจึงทำให้มีพฤติกรรมแสดงออกถึงความไม่ชอบ มีการปฏิเสธในการกินบ่อยครั้ง จนกลายเป็นพฤติกรรมกินยากให้เราได้พบเห็นนั่นเองค่ะ

5 สัญญาณ Checklist พฤติกรรมการกินที่เสี่ยงต่อปัญหาการกินยาก

  • เลือกกินแต่อาหารที่ตัวเองชอบ กินอาหารซ้ำกันทุกวัน ต่อให้มีอาหารอย่างอื่นให้เลือกมากแค่ไหนก็ไม่สนใจกิน เรียกร้องจะกินแต่อาหารชนิดนั้นอย่างเดียว
  • แม้จะตักอาหารต่าง ๆ ใส่จานกันมากมายสักเพียงไหน ก็มักจะเขี่ยอาหารที่ไม่ชอบออก
  • แม้จะทำอาหารให้ดูน่ากินขนาดไหน ลูกก็กินน้อย เพียงกินนิดเดียวก็ทำท่าอิ่มเสียแล้ว
  • กินอาหารช้าเป็นชั่วโมง ชอบอมข้าว หรืออมอาหารค้างไว้ในปากนาน ๆ โดยไม่ยอมเคี้ยวข้าวหรืออาหาร
  • ชอบกินขนม แต่ไม่ชอบกินผักผลไม้ จึงเลือกกินแต่ขนมของหวาน ของกินจุบกินจิบที่ไม่มีประโยชน์มากกว่าผลไม้ต่าง ๆ ที่เตรียมให้

ข้อควรระวัง !!!

หากลูกมีพฤติกรรมการกินอย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้นหรือมีพฤติกรรมที่มากกว่า 1 อย่างขึ้นไป อย่าได้ปล่อยทิ้งไว้จนสายเกินแก้ ต้องรีบหันมาเอาใจใส่เรื่องคุณค่าทางโภชนาการให้มากขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาของการขาดสารอาหาร หรือปัญหาพฤติกรรมอื่น ๆ ตามมานะคะ

ผลกระทบ 4 ด้านกับพัฒนาการ จากพฤติกรรมกินยาก

ด้านที่ 1: ด้านการเรียนรู้

อาจทำให้ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ จึงเรียนรู้ได้ช้ากว่าเด็กทั่วไปได้

ด้านที่ 2: ด้านสุขภาพ

อาจเพิ่มโอกาสในการเจ็บป่วย เนื่องจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ไม่เต็มที่

ด้านที่ 3: ด้านการเจริญเติบโต

ทำให้เด็กมีน้ำหนักตัวน้อย ตัวเตี้ย แคระแกรน ไม่แข็งแรงเหมือนเด็กทั่วไป

ด้านที่ 4: ด้านโภชนาการ

ทำให้เด็กได้รับสารอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และตกอยู่ในภาวะขาดสารอาหารได้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลแก้ไขให้ลูกได้รับโภชนาการที่มีคุณค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเริ่มตั้งแต่ช่วงวัย 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เด็กทั่วไปมีความสนใจในการสำรวจสิ่งต่าง ๆ อยู่แล้ว ทั้งยังมีความสนใจอาหารที่นำมาป้อนอีกด้วยค่ะ

นอกจากนี้ควรปล่อยให้ลูกได้เล่นสำรวจกับอาหาร ปล่อยให้ลูกได้ป้อนอาหารเข้าปากเอง รวมถึงการเปิดโอกาสให้ลูกได้ทดลองรสชาติหลากหลาย ได้สัมผัสลักษณะอาหารที่แตกต่าง ได้มองเห็นสีสันของอาหารต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกอยากกินและสนใจกินได้ค่ะ ซึ่งในช่วงนี้คุณพ่อคุณแม่ก็เพียงค่อย ๆ ปรับลักษณะอาหารไปตามวัย เช่น ทำอาหารบดละเอียดให้กลายเป็นบดหยาบเมื่อลูกเริ่มมีฟันบดเคี้ยว จากนั้นปรุงให้เป็นอาหารอ่อนนิ่ม แล้วค่อยพัฒนาอาหารให้กลายเป็น 3 มื้อแบบผู้ใหญ่เมื่อลูกครบ 1 ขวบปีแรกขึ้นไปนะคะ พร้อมกับให้ลูกได้ดื่มนมที่มีคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เป็นอาหารมื้อรองควบคู่ไปกับการกินอาหารมื้อหลักด้วย เพื่อช่วยป้องกันภาวะการขาดโภชนาการให้ลูกนั่นเองค่ะ

เทคนิคง่าย ๆ ที่ช่วยปรับพฤติกรรมลูกน้อยได้

1.  ไม่ส่งเสริมให้ลูกกินขนมจุบจิบของหวาน หรืออาหารที่มีแต่แป้งและน้ำตาลก่อนอาหารมื้อหลัก

2. ให้ลูกนั่งกินอาหารร่วมโต๊ะเดียวกัน พร้อมหน้าพร้อมตา เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีและกระตุ้นให้ลูกรู้สึกอยากกินเพิ่มขึ้น

3. ไม่บังคับลูกให้เริ่มกินอาหารที่ไม่คุ้นเคย ไม่ชอบ หรือมีกลิ่นฉุน แต่ควรให้อาหารที่กินได้ง่าย พร้อมดัดแปลงอาหารต่าง ๆ ให้มีสีสันน่ากิน ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้ลูกเกิดความรู้สึกอยากกิน เช่น จัดอาหารเป็นหน้าตาของการ์ตูน หรือตัวสัตว์ต่างๆ ที่ลูกชอบ

4. สร้างความมีส่วนร่วมในการเตรียมอาหาร เพื่อให้ลูกเกิดความรู้สึกอยากกิน เช่น การชวนลูกเข้าครัวไปเด็ดผัก ล้างผัก จัดวางจานชามบนโต๊ะ หรือออกความเห็นว่าแต่ละมื้อควรทำอะไรกินดี หรืออื่น ๆ ตามความสามารถตามช่วงวัย

5. เลือกภาชนะใส่อาหารที่ดึงดูดความสนใจของลูก อาจเป็นลวดลายการ์ตูนที่ลูกโปรดปราน พร้อมกับชวนลูกไปซื้อหาอุปกรณ์การกินให้เป็นของตัวเอง โดยให้ลูกมีโอกาสเลือกได้ตามใจชอบ

6. สร้างบรรยากาศสนุกสนานน่าสนใจ ชักชวนหรือโน้มน้าวให้ลูกกินด้วยคำพูดดี ๆ ท่าทีสบาย ๆ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้ลูกมีความสุข สนุกที่จะกิน

7. ชื่นชมเมื่อลูกกินอาหารได้ดี โดยให้คำชมเชยอย่างเหมาะสม และไม่ควรสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้ลูกต้องยอมรับ หรือทำตามที่เราต้องการ เช่น การดุว่า ใช้อารมณ์ลงโทษ หรือบังคับให้ลูกกินให้ได้ดั่งใจที่เราต้องการ เพราะลูกจะยิ่งต่อต้าน และรู้สึกไม่ดีในการกินได้

8. เล่านิทานสนุก ๆ จูงใจให้ลูกอยากกิน สามารถจูงใจลูกด้วยการเล่านิทานสนุกที่แฝงคำสอนให้รู้จักกินอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ และมีพฤติกรรมการกินที่ดีได้

            นอกจากนี้ การที่คุณพ่อคุณแม่เป็นแบบอย่างที่ดีในการกินเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ การมีพฤติกรรมการกินที่ดี ถือเป็นเรื่องสำคัญของการส่งเสริมนิสัยการกินให้ลูกได้เป็นอย่างดีเลยนะคะ หากอยากให้ลูกกินผัก กินผลไม้ หรืออาหารอื่นใด เราต้องกินอย่างเต็มใจให้ลูกเห็น พร้อมกับชี้แนะ อธิบายประโยชน์ของอาหารต่าง ๆ ให้ลูกได้เรียนรู้ เพื่อส่งเสริมให้ลูกรู้จักกินได้อย่างมีคุณค่าได้ตั้งแต่ในวันนี้เลยนะคะ

ก้านใบ คลินิกพัฒนาการเด็ก ลพบุรี
ให้บริการประเมิน ส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็ก
เตรียมความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียน
ส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน ทักษะEF
โทร 097-9378319 

Leave a comment