Skip to content Skip to footer

6 เคล็ดลับ! ปรับพฤติกรรมลูก

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นหนึ่งในวิธีการในการสร้างวินัยให้แก่เด็ก ซึ่งมีที่มาจากทฤษฎีการวางเงื่อนไขด้วยการกระทำของคุณเบอร์รัส เอฟ สกินเนอร์ค่ะ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นสามารถลดปัญหาที่อาจตามมาได้ในอนาคตหลังจากการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของลูก โดยคุณพ่อคุณแม่สามารถค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกให้เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้อย่างทีละขั้นค่ะ สำหรับบทความนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้วย 6 วิธีการ ดังนี้

1. การเสริมแรง

การเสริมแรงทางบวก (Positive Reinforcement) เป็นการให้บางอย่างเข้าไปตามหลังพฤติกรรม เพื่อเพิ่มความถี่ของพฤติกรรมที่พึงประสงค์

การเสริมแรงทางลบ (Negative Reinforcement) เป็นการเพิ่มความถี่ของพฤติกรรม เพื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่งเร้าที่ไม่พึงพอใจ

สิ่งที่ควรคำนึงถึงหากต้องการใช้การเสริมแรงทางบวกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. การยืดเวลาการเสริมแรง (Delay of Reinforcement)

            การเสริมแรงควรให้การเสริมแรงทันทีภายหลังจากที่เด็กแสดงพฤติกรรมเป้าหมาย เนื่องจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับการเสริมแรงจะก่อเกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นแล้วทิ้งช่วงไปนานก่อนได้รับการเสริมแรง แต่หากพฤติกรรมเป้าหมายเกิดขึ้นคงที่สม่ำเสมอแล้ว ควรยืดเวลาการเสริมแรงออกไป

2. ขนาดหรือปริมาณของตัวเสริมแรง (Magnitude or Amount of the Reinforcer)

          ปริมาณของตัวเสริมแรงที่ได้รับภายหลังจากแสดงพฤติกรรมจะต้องมากพอกับความต้องการของเด็ก โดยยิ่งมีปริมาณมากก็ยิ่งทำให้ความถี่ของพฤติกรรมเกิดขึ้นได้มาก แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดด้วยว่า หากให้ในปริมาณที่มากอย่างไม่มีขอบเขตแล้ว อาจทำให้ตัวเสริมแรงนั้นหมดสภาพลงได้ และบางกรณีอาจกลายเป็นสิ่งเร้าที่ไม่พึงพอใจอีกด้วย

3) คุณภาพหรือชนิดของตัวเสริมแรง (Quality or Type of the Reinforcer)

          การที่ตัวเสริมแรงจะมีคุณภาพมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเด็กที่มีต่อตัวเสริมแรงนั้น โดยตัวเสริมแรงที่เด็กพึงพอใจมากก็จะมีผลต่อพฤติกรรมมากกว่าตัวเสริมแรงที่เด็กพึงพอใจน้อย ดังนั้น เพื่อให้เกิดคุณภาพสูงสุดจึงนิยมใช้ตัวเสริมแรงหลายชนิดร่วมกัน

4) ตารางการเสริมแรง (Schedule of Reinforcement)

          ในการเสริมแรง ตารางการเสริมแรงจะเป็นตัวกำหนดว่า เด็กจะต้องกระทำพฤติกรรมเท่าไร หรือแสดงพฤติกรรมอย่างใดจึงจะได้รับการเสริมแรง โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การให้การเสริมแรงทุกครั้งที่พฤติกรรมเป้าหมายเกิดขึ้น และการให้การเสริมแรงเป็นครั้งคราวตามจำนวนครั้งหรือระยะเวลาที่พฤติกรรมเป้าหมายเกิดขึ้น เช่น ให้การเสริมแรงแก่เด็กเมื่อเด็กทำชิ้นงานเสร็จทุก ๆ 5 ชิ้น ให้การเสริมแรงแก่เด็กเมื่อนั่งทำงานได้ต่อเนื่องทุก ๆ 5 นาที เป็นต้น

ตัวเสริมแรงแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท คือ

1) ตัวเสริมแรงที่เป็นสิ่งของ หรือ ตัวเสริมแรงทางวัตถุ (Material Reinforcers)

ได้แก่ อาหารหรือสิ่งเสพได้ เช่น ขนม น้ำหวาน ลูกกวาด และ ของใช้ต่าง ๆ เช่น ของเล่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ซึ่งจัดเป็นตัวเสริมแรงที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข

2) ตัวเสริมแรงทางสังคม (Social Reinforcers)

ได้แก่ การแสดงออกทางกาย เช่น การยิ้ม การสบตา การพยักหน้า การสัมผัส หรือเข้าใกล้ เป็นต้น และการแสดงออกทางวาจา เช่น การพูดยกย่อง ชมเชย การกอด สิ่งเหล่านี้จัดเป็นตัวเสริมแรงที่ต้องวางเงื่อนไขก่อน แต่ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพในการปรับพฤติกรรม นอกจากนี้ ยังเป็นตัวเสริมแรงที่มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน จึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมแม้ไม่ได้อยู่ในสภาพการณ์ของการปรับพฤติกรรมก็ตาม

3) ตัวเสริมแรงที่เป็นกิจกรรม (Activity Reinforcers or High-Probability Behaviors)

ได้แก่ การใช้กิจกรรมหรือพฤติกรรมที่เด็กชื่นชอบมาเสริมแรงกิจกรรม รวมทั้งการให้สิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ให้เด็ก ๆ ดูการ์ตูนได้หลังจากทำการบ้านเสร็จ เป็นต้น

4) ตัวเสริมแรงที่เป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับ (Informative Feedback)

ได้แก่ การให้ข้อมูลย้อนกลับเกี่ยวกับผลของการกระทำพฤติกรรมของเด็กเพื่อให้เด็กทราบได้ว่า พฤติกรรมที่กระทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร เช่น ครูบอกผลคะแนนสอบแก่นักเรียน เป็นต้น

“Positive Feedback” หรือการให้ข้อมูลป้อนกลับทางบวก จะเน้นย้ำเฉพาะจุดบวก มองเฉพาะส่วนที่ดี เช่น บอกเด็กว่าหนูระบายสีอยู่ในกรอบสวยมาก หนูเก็บของเล่นใส่กล่องได้ครบทุกชิ้นดีมาก

5) ตัวเสริมแรงที่เป็นเบี้ยอรรถกร (Token Economy or Token Reinforcers)

ได้แก่ การใช้สัญลักษณ์หรือวัตถุอย่างหนึ่ง เช่น เบี้ย ดาว คะแนน แสตมป์ หรือ คูปอง เป็นต้น เป็นตัวเสริมแรงที่สามารถนำไปแลกเป็นตัวเสริมแรงอื่น ๆ ได้มากกว่า 1 ตัวขึ้นไป เช่น ขนม สมุด หนังสือ การดูภาพยนตร์ หรือ การเล่นเกม เป็นต้น จึงเป็นตัวเสริมแรงที่มีประสิทธิภาพสูงและมีโอกาสที่จะหมดสภาพการเป็นตัวเสริมแรงได้น้อย

2. การลงโทษ (Punishment)

การลงโทษเป็นการทำให้พฤติกรรมของบุคคลมีความถี่ลดลงหรือยุติลง เนื่องจากได้รับสิ่งที่ไม่พึงพอใจภายหลังจากที่ได้กระทำพฤติกรรมนั้น หรือเนื่องจากการกระทำพฤติกรรมนั้นทำให้ถูกถอดถอนสิ่งเร้าที่พึงพอใจออกไป สามารถใช้การตำหนิได้ค่ะ แต่ให้เป็นการตำหนิที่พฤติกรรม แทนการตำหนิที่ตัวบุคคล เช่น “หยุดขว้างของเล่น ทำแบบนี้ไม่ได้” แทนการบอกว่า “ไม่น่ารักเลย” “ดื้อ” หรือใช้หลักการการใช้เวลานอก (Time out)เป็นการถอดถอนโอกาสที่เด็กจะได้รับการเสริมแรงทางบวกหรือทำให้เด็กเสียตัวเสริมแรงในขณะนั้นไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ตัวอย่างเช่น แยกเด็กออกไปอยู่ในห้องว่าง ให้เด็กไปอยู่ที่มุมห้อง หันหน้าเข้าข้างฝา หรือให้เด็กอยู่ในพื้นที่ที่เขามีโอกาสได้รับการเสริมแรง แต่จะไม่ได้รับการเสริมแรงขณะใช้เวลานอก เป็นต้น

3. การหยุดยั้ง (Extinction)

เป็นการหยุดให้การเสริมแรงต่อพฤติกรรมที่เคยได้รับการเสริมแรงมาก่อน ซึ่งเป็นผลทำให้พฤติกรรมนั้นค่อย ๆ ลดลง จนกระทั่งหายไปในที่สุด ตัวอย่างเช่น เมื่อเด็กเรียกร้องความสนใจโดยการส่งเสียงดังรบกวน คุณพ่อคุณแม่เพิกเฉยและไม่อุ้มหรือโอบกอด

4. การแต่งพฤติกรรม (Shaping)

เป็นการให้การเสริมแรงกระตุ้นทีละน้อย จนนำไปสู่พฤติกรรมใหม่หรือพฤติกรรมเป้าหมายหรือพฤติกรรมตามต้องการ

5. พฤติกรรมลูกโซ่ (Chaining)

เป็นชุดของพฤติกรรมการตอบสนองที่เด็กแสดงออกเป็นลำดับชื่อมต่อกันลักษณะคล้ายของลูกโซ่ จากพฤติกรรมเริ่มต้นจนถึงพฤติกรรมสุดท้าย ดังนั้น การใช้เทคนิคนี้จึงต้องมีการแตกพฤติกรรมหรือทักษะที่ต้องการฝึกออกเป็นขั้นตอนย่อยและฝึกสอนขั้นตอนเหล่านั้นให้แก่เด็กจนสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง แล้วนำมาสานต่อเป็นพฤติกรรมหรือทักษะหลัก แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่

1) Forward chaining : เป็นการฝึกพฤติกรรมหรือทักษะในขั้นตอนย่อย ๆ นั้นทีละขั้น จากขั้นที่หนึ่งไปถึงขั้นสุดท้ายได้ตามลำดับ

2) Backward chaining : เป็นการฝึกพฤติกรรมหรือทักษะในขั้นตอนย่อย ๆ นั้นทีละขั้นโดยเริ่มจากขั้นตอนสุดท้ายก่อน

6. การชี้แนะ (Prompting)

เป็นการใช้สิ่งเร้าซึ่งอาจเป็นคำพูด ท่าทาง หรือสัญลักษณ์สิ่งของต่าง ๆ เป็นตัวชี้นำ เพื่อให้เด็กสามารถแสดงพฤติกรรมเป้าหมายได้ถูกต้องมากขึ้น และช่วยลดระยะเวลาในการเรียนรู้ลง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1) การชี้แนะด้วยวาจา (Verbal Prompting) : การชี้แนะโดยการใช้คำพูดต่าง ๆ เพื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมเป้าหมาย เช่น การพูดหรือบอกให้ทำ เป็นต้น

2) การชี้แนะด้วยท่าทาง (Physical Prompting) : การชี้แนะโดยการใช้ลักษณะสีหน้า กิริยาท่าทาง เพื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมเป้าหมาย เช่น การสั่นศีรษะ พยักหน้า ชี้นิ้ว กวักมือ หรือโบกมือ เป็นต้น

3) การชี้แนะด้วยสิ่งของ (Material Prompting) : การชี้แนะโดยการใช้วัตถุสิ่งของ ตลอดจนสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมเป้าหมาย เช่น การใช้บัตรภาพลูกศรในการบอกทิศทางในการเดิน เป็นต้น

สิ่งสำคัญคือ การใช้การออกคำสั่งที่เอาจริง แต่ไม่ใช้อารมณ์โกรธ มีความสม่ำเสมอ โดยผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กควรตกลงกันและปรับพฤติกรรมเด็กให้ไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงมีความหนักแน่น มั่นคง หากลูกมีพฤติกรรมทิ้งตัวลงนอนกับพื้น หรือร้องไห้นานเมื่อถูกขัดใจ คุณพ่อคุณแม่ควรหนักแน่นมั่นคงในขณะทำการปรับพฤติกรรมค่ะ การควบคุมกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่เข้มงวดเกินไป และไม่ตามใจเด็กมากเกินไป การที่เด็กได้รับการดูแลเอาใจใส่ ความรัก ความอบอุ่น ไปพร้อมกับการควบคุมกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยที่เหมาะสม ฝึกการช่วยเหลือตนเองให้สมวัยตามพัฒนาการของเด็ก จะทำให้เด็กมีการควบคุมอารมณ์ตนเองที่ดี รู้จักกฎเกณฑ์ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสังคมและผู้อื่นได้ง่าย เมื่อโตขึ้นก็จะสามารถทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นได้ดีค่ะ

          พวกเราก้านใบ คลินิกพัฒนาการเด็กลพบุรี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเด็กให้สามารถนำวิธีการเหล่านี้ไปปรับให้เหมาะสมกับบริบทของเด็กแต่ละราย ส่งผลให้กลายเป็นพฤติกรรมใหม่ที่เหมาะสมได้ค่ะ มาช่วยให้เด็ก ๆ มีพัฒนาการที่สมวัยและมีวินัยที่ดีในตนเองไปด้วยกันนะคะ

ก้านใบ คลินิกพัฒนาการเด็ก ลพบุรี
ให้บริการประเมิน ส่งเสริมและกระตุ้นพัฒนาการเด็ก
เตรียมความพร้อมก่อนเข้าโรงเรียน
ส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน ทักษะEF
โทร 097-9378319 

Leave a comment